วันจันทร์ที่ 9 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

มดสายพันธุ์ต่างๆที่อันตรายที่สุดในโลก

ต้อนรับว่าที่ซูเปอร์สตาร์คนใหม่จากค่ายการ์ตูนมาเวลอย่าง Ant-Man ฮีโร่พันธ์จิ๋ว แต่สกิลไม่ได้จิ๋วตามชื่อหรือขนาดแต่อย่างใด วันนี้เลยจะมานำเสนอมดตัวน้อยที่อันตรายสุดๆห้าสายพันธุ์

1.มดคันไฟ อินวิคต้า
เป็นโชคดีของประเทศไทยที่มดคันไฟสายพันธ์นี้ไม่ได้แพร่กระจายมาในประเทศเรา อินวิคต้า เป็นสายพันธ์มดคันไฟที่อันตรายที่สุดจากในเป็นร้อยสายพันธ์ ต้นกำเนิดของอินวิคต้าอยู่ที่อเมริกาใต้และในปัจจุบันก็แพร่ขยายเข้ามาในเอเซียแล้วบ้าง ความน่ากลัวของมันไม่ได้อยู่ที่พิษ แต่เป็นจำนวน หากเป็นสายพันธ์ตามบ้านเรา เมื่อบังเอิญไปแหย่รังของมดคนไฟแล้วเราอาจจะถูกกัดเพียงสี่ห้าตัว แต่ไม่ใช่กับอินวิคต้า เพราะพวกมันพร้อมที่จะออกมากัดคุณเป็นพันๆตัวเลยทีเดียว

2. Bull Ant (มดวัว)
เป็นมดที่อาศัยในป่าออสเตรเลียตะวันออก เจ้ามดวัวเป็นสายพันธุ์โบราณ ซึ่งมีนิสัยแตกต่างจากมดชนิดอื่นๆ ตรงที่มันชอบฉายเดี่ยวล่าเหยื่อ(เท่แฮะ) นอกจากกัดแล้วมันยังต่อยได้อีก เพราะมันมีเหล็กในที่ก้น นอกจากนั้นยังมีสายตามองไกลถึง 2 เมตร เรียกได้ว่าน่ากลัวจริงๆ แต่ถึงอย่างนั้นมันก็มีจุดอ่อนคือมันไม่สามารถรับกลิ่นต่างๆ ได้ดีเท่ามดทั่วไปดังนั้นมันจึงอาศัยด้วยตาแทน ที่จริงแล้วมดวัวไม่มีพิษที่อันตรายรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิต แต่ความเจ็บปวดนั้นเรียกได้ว่าราวกับลงนรกเลยทีเดียว ทั้งแสบร้อน ปวด และยังมีฤทธิ์นานหลายวันเลยทีเดียว

3. Bulldog Ant
เจ้ามดบูลด๊อก เรียกได้ว่าเป็นมดกินคนที่อันตรายที่สุดในโลก มีสายพันธ์ย่อยๆกว่า 94 สายพันธ์ โดยบูลด๊อกเป็นพันธุ์ที่อันตรายที่สุด เมื่อโตเต็มที่จะมีขนาดได้ถึงสี่เซนติเมตร มีถิ่นกำเนิดจากออสเตรเลีย ได้ลงบันทึก Guinness World Record ว่าเป็นมดที่อันตรายที่สุดในโลก จากนิสัยก้าวร้าว ดุร้ายของมัน และยังมีขนาดของฟันและกรามที่ใหญ่โตเป็นพิเศษ นอกจากนี้ยังมีพิษรุนแรงซึ่งถ้าเข้าสู่กระแสเลือดแล้วยังเป็นอันตรายถึงชีวิต ถ้าโดนรุมทั้งฝูงหมดหละก็ เนื้อหนังของเราจะหายไปอย่างรวดเร็วเลยทีเดียว

4. Bullet Ant (มดกระสุน)
ทำไมมดพวกนี้มันชื่อคล้ายๆกันหมดเลยแฮะ! ความอันตรายของมดกระสุน ไม่ได้ทำร้ายถึงชีวิต แต่จะไม่สามารถลืมมันไปได้เลย มดกระสุนได้ชื่อนี้มาเพราะการกัดของมันจะทำให้รู้สึกเหมือนถูกปืนยิง ถือว่าเป็นการกัดจากสัตว์ที่เจ็บปวดมากที่สุดในโลกได้เลยทีเดียว บาดแผลของมันได้ถูกอธิบายเอาไว้ว่า "มันเหมือนกับถูกเผา อาการปวดและเจ็บจะครอบงำโดยไม่บรรเทาไปจนถึง24ชั่วโมง"

5. Army Ant (มดทหาร)
พวกมันไม่อันตรายถ้าหากอยู่ตัวเดียว แต่โชคร้ายที่มันอาศัยอยู่กันเป็นกลุ่มใหญ่มากแถมเดินทางไปทั่ว พวกมันพบมากที่สุดในแอฟริกาและเอเชีย มดพวกนี้จะสร้างรังชั่วคราวขึ้นในขณะที่มันกำลังเดินทางด้วย! อันตรายที่น่ากลัวที่สุดของมันคือเวลาที่มันยกพวกบุกเข้าบ้าน เมื่ออาหารของพวกมันขาดแคลน มดพวกนี้จะรวมกลุ่มกันมากกว่า50ล้านตัว เคยมีบันทึกว่า ส่วนมากเด็กถูกฆ่าอย่างทรมานโดยการที่มดพวกนี้คลานเข้าไปในปอด (บรึ๋ยยยย) และถูกรุมกัดทั้งตัว 
ที่มา...https://minimore.com/f/dangerous-ant-of-the-world-66

ประเภทของมด

มดคันไฟ มีลักษณะสีเหลืองแดง มีขนที่หัวและตัว หนวดมี 10 ปล้อง อกแคบ เห็นชัดเจน มี ปุ่ม ท้องรูปไข่มีลายขวางสีน้ำตาล มีเหล็กใน ทำรังอยู่ใต้ดินที่ร่วนซุยโดยดินทรายรังหนึ่งๆ มีรูทางเข้าออก เล็กๆ บนพื้นดินได้หลายรู กินแมลงและซากสัตว์เล็กๆ เป็นอาหาร มดคันไฟใช้เหล็กในต่อย  ผู้ถูกต่อย จะรู้สึกเจ็บแสบคล้ายถูกไฟลวกจึงเรียกมดคันไฟ หลังจากถูกต่อยจะมีอาการบวมแดงขยายกว้างขึ้น และจุดที่ถูกต่อยจะใสคล้ายถูกไฟลวกและจะมีอาการคัน มากเมื่อเกาผิวหนังจะบวมแดงแผ่กว้างขึ้น

มดดำ มีลักษณะมีสีน้ำตาลเข้มบางส่วนสีดำ ขนสีน้ำตาลเหลืองปกคลุมอยู่ทั่วไป หนวดมี 12 ปล้อง ลักษณะยาวเห็นได้ชัด อกแต่ละปล้องมีเส้นแบ่งชัดเจน ขายาวมาก มี ปุ่ม เป็นรูปไข่นูนเล็กน้อย ท้องรูปไข่ พบเห็นทั่วไปทั้งในที่อยู่อาศัยและภายนอกบ้าน มดงานออกหากินไกลออกไปจากรัง ดังนั้น จึงยากที่จะควบคุมมดชนิดนี้ทั้งรัง เป็นมดที่เคลื่อนที่ได้เร็วมากโดยไม่ติดตามฟีโรโมนของมดตัวอื่นๆ พบแพร่กระจายอยู่ทั่วโลกบางครั้งอาจจะพบเห็นมดชนิดนี้ขนย้ายไข่ มดชนิดนี้จะไม่ทำอันตรายคน แม้ถูกรบกวน มดดำเป็นมดที่ทำให้เกิดความรำคาญมากกว่าอันตราย


มดละเอียด มีลักษณะสีเหลืองจนถึงสีน้ำตาลอ่อนหรือสีแดงสว่างใส ท้องมีสีเข้มเกือบดำ หนวดมี 12 ปล้อง โดย ปล้องสุดท้ายใหญ่เป็นรูป กระบอง ตาเล็ก อกยาวแคบเห็นชัดเจน มี ปุ่มรูปไข่ มีขน ปกคลุมทั่วร่างกาย ชอบทำรังอยู่ใกล้แหล่งอาหารเช่น ช่องว่างตามกำแพงบ้าน รังมีขนาดต่างๆกันตั้งแต่ ขนาดเล็กจนถึงมีประชากรเป็นพันๆ ตัว และสามารถแตกเป็นรังย่อย จากรังใหญ่ได้ โดยจะกระจายไป ตามบ้าน ที่อยู่อาศัย ทำให้ควบคุมได้ยาก มดละเอียดจะมีเหล็กในแต่ไม่ปรากฏให้เห็น เมื่อถูกรบกวนจะ ป้องกันตัวโดยการกัด ผู้ถูกกัดจะรู้สึกเจ็บ และ คันเพียงเล็กน้อย
มดละเอียดหรือมดเหม็น – มีลักษณะหัวและอกสีดำ ท้องสีน้ำตาลอ่อนปล้องมีหนวดมี และยาว ตารวม ใหญ่อยู่ด้านหน้า ปล้อง มีปุ่ม 1ลักษณะ แบน ปล้องท้องส่วนยื่นไปคลุมบน pedicel ทำรังบนดินร่วม บริเวณโคนต้มไม้ เช่น ต้นไผ่ ชอบซ่อนตัวตามกาบใบที่มีความชุ่มชื้น มดเหม็น เมื่อเข้ามาหาอาหารใน บ้านเรือนจะขับถ่ายมูลทำให้เกิดการปนเปื้อนในอาหารและมีกลิ่นเหม็น ทำอันตรายคนโดยการกัดผู้ถูก กัด และ รู้สึกเจ็บ และคันเพียงเล็กน้อย

มดง่าม มีลักษณะสีน้ำตาลเข้ม กรามใหญ่ หนวดมี 11 ปล้อง เว้าลงส่วนท้องกว้างรูปไข่ ทำรังในดินร่วนมองผิวดินจะเห็นเป็นเพียงรูเปิดเล็กๆ และมีดินร่วงกองอยู่รอบๆ ของขอบรูเข้าออก ชอบทำรังในที่ร่มชื้น กินแมลงและเนื้อสัตว์เป็นอาหาร ทำอันตรายคนโดยการกัดอาการจะคล้าย คลึงกับอาการของคนที่ถูกมดคันไฟต่อยมาก


มดแดง มีลักษณะสีแดงเข้ม หัวและส่วนอกมีขนเส้นเล็กๆ หนวดมี12 ปล้อง อกยาวโค้งคอดคล้าย อาน กลม ขาเรียวยาว ทำรังบนต้นไม้ใหญ่ เช่น ต้นมะม่วง ชมพู่ โดยใช้ใบเหล่านี้ประกอบเป็นรัง โดยตัวอ่อนจะปล่อยสารเหนียวออกมาเชื่อมใบไม้ให้ประกบกัน เมื่อพบเหยื่อจะทำร้ายเหยื่อโดยการกัด และฉีดสารพิษออกทางปลายท้อง เมื่อเหยื่อได้รับบาดเจ็บจะช่วยกันลากกลับรัง มดแดง เมื่อถูกรบกวน จะทำอันตรายคนโดยการกัดผู้ถูกกัดจะรู้สึกเจ็บปวดมาก ต่อมาจะเกิดอาการบวมคัน

มดตะนอย – มีลักษณะสำคัญสีดำปนน้ำตาลเหลือง มีขนกระจายบางๆ ไม่เป็นระเบียบ หนวด 12 ปล้อง อกยาว กว้าง เล็กแบน รูปไข่นูน ท้องรูปไข่เล็กปลายแหลมโค้ง มีเหล็กในที่ปลาย ทำรังอยู่ในต้นไม้ ใหญ่ที่ตายแล้ว เช่น ต้นก้ามปู ทำให้ต้นไม้เป็นโพรงอยู่ภายใน หากินบนต้นไม้และพื้นดินใกล้เคียง เป็นพวกกินเนื้อเป็นอาหาร มดตะนอยจะต่อยโดยใช้เหล็กใน ผู้ถูกต่อยจะปวดคล้ายถูกผึ้งต่อยเหล็กใน จะทำให้เกิดความเจ็บปวดและอาการบวม ต่อมาจะคันมาก






ที่มา..  http://muangcom.blogspot.com/2010/09/8-10-2-12-1-12-3-2-1-pedicel-11-12-12.html

มดกินอะไรเป็นอาหาร

มดชอบกินอาหารเหมือนกับคน ซึ่งก็คืออาหารที่มีส่วนประกอบของ เกลือ ไขมัน และน้ำตาล และมดก็กินแมลงประเภทอื่นๆ ด้วยเช่นกัน วิธีต่างๆ เช่น กำจัดเศษอาหารหรือปิดภาชนะอาหารของคนหรือของสัตว์ให้มิดชิด ทำความสะอาดอาหารที่หก มัดหรือนำขยะออกไปทิ้งให้เรียบร้อย ทั้งหมดนี้สามารถช่วยลดปัญหามดรบกวนใจได้ อย่าปล่อยให้พื้นบ้านของคุณเป็นงานเลี้ยงของมด

ที่มา..http://www.baygon.co.th/th-th/expert-help/what-do-ants-eat

มดก็หลับเป็นเหมือนกันนะ! รู้ยัง

 เดบี แคสซิล และกลุ่มนักวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัยเซาท์ฟลอริดา ได้ทำการศึกษารูปแบบการนอนหลับของมดแดงไฟชนิด Solenopsis invicta โดยการเลี้ยงมดดังกล่าวในห้องปฏิบัติการ ในแต่ละห้องย่อยมีมดราชินี 3 ตัว มดงาน 30 ตัว และตัวอ่อนขนาดใหญ่ 30 ตัวให้มดงานทำงานให้ และมีการบันทึกภาพพฤติกรรมของมดพวกนี้ไว้ตลอดเวลา 
          จากการศึกษาพบว่า รูปแบบการนอนของมันไม่ได้เป็นไปตามวัฏจักรของกลางวันและกลางคืน เพราะมันอาศัยอยู่ใต้ดินเป็นหลัก แต่สิ่งที่นักวิทยาศาสตร์ต้องทึ่งก็คือ ความถี่ในการงีบหลับของมดงานที่มีความถี่สูงมาก โดยเฉลี่ยนั้นพบว่ามดงานงีบหลับ 250 ครั้งต่อวัน แต่ละครั้งนานเพียงระดับนาที และเมื่อรวมกันแล้วในวันนึงมดงานนอน 4 ชั่วโมง 48 นาทีเท่านั้น ไม่ได้นอนครั้งละนานๆ เหมือนมนุษย์เรา
          ส่วนมดราชินีจะนอนมากกว่ามดงาน โดยแต่ละครั้งกินเวลาประมาณ 6 นาที และนอนถี่ประมาณ 90 ครั้งต่อวัน หรือโดยรวมแล้วประมาณ 9 ชั่วโมงต่อวัน มดราชินีจะมีการปรับช่วงเวลานอนให้ตรงกัน โดยพบว่าพวกมันจะนอนกองรวมกันในที่หนึ่ง ตัวหนึ่งจะนอนทับอีกตัวหนึ่ง และจะแยกจากกันเมื่อมันตื่น ในบางครั้งมดราชินีก็งีบหลับบ้าง แต่อาจถูกปลุกให้ตื่นได้เมื่อมีกิจกรรมต่างๆ มาสัมผัสรอบตัวเธอ
706794-topic-ix-0

What do ants dream of?

          นักวิทยาศาสตร์สังเกตพฤติกรรมการหลับจากตำแหน่งของหนวดที่ไม่ได้ยกขึ้นเต็มที่และการอ้าปากค้าง ถ้าอยู่ๆ มันเกิดการหลับลึกขึ้นมา หนวดจะตกลงมากขึ้น ปากจะเริ่มปิด แล้วหนวดจะเริ่มม้วนตัว ตัวไหวสั่น อาจเกิดจากการเคลื่อนของหนวดอย่างรวดเร็ว คล้ายกับการเคลื่อนลูกตาอย่างรวดเร็วเวลาที่สัตว์มีกระดูกสันหลังเกิดการหลับลึกด้วยเหมือนกัน
          การที่มดงานมีพฤติกรรมการนอนเช่นนี้ น่าจะช่วยทำให้มั่นใจได้ว่ารังจะได้รับการปกป้องเสมอโดยมดที่ยังตื่นอยู่ เนื่องจากการหลับนั้นเกิดขึ้นไม่พร้อมกัน เมื่อพิจารณาถึงประชากรมดงานทั้งหมดในรังมด และช่วงเวลาการหลับที่แตกต่างกันนี้ อาจบ่งบอกถึงอายุขัยของมดในแต่ละวรรณะได้ มดงานมักมีอายุอยู่ไม่กี่เดือน มดงานทำงานตลอดวันตลอดคืนเพื่อความอยู่รอดของรัง พักผ่อนน้อย ใช้วิธีงีบหลับเพียงสั้นๆ อาจอยู่ได้เพียงหกเดือนถึงหนึ่งปี ในขณะที่มดราชินีที่นอนมากกว่า มีอายุอยู่ได้ถึงหกปี และในมดบางชนิดอาจมีมดราชินีที่อยู่ได้ถึง 45 ปี


ที่มา..http://www.xn--42c4a3bha1cp3fem9j1bg.com/sleeping-ants/

วันอาทิตย์ที่ 20 มีนาคม พ.ศ. 2559

                                   มด
 
       
        เป็นแมลงในวงศ์ Formicidae อันดับ Hymenoptera มดมีการสร้างรังเป็นอาณาจักรขนาดใหญ่ บางรังมีจำนวนประชากรมากถึงล้านตัว มีการแบ่งวรรณะกันทำหน้าที่คือ วรรณะมดงาน เป็นมดเพศเมียเป็นหมัน ทำหน้าที่หาอาหาร สร้างและซ่อมแซมรัง ปกป้องรังจากศัตรู ดูแลตัวอ่อน และงานอื่น ๆ ทั่วไป เป็นวรรณะที่พบได้มากที่สุด วรรณะสืบพันธุ์ เป็นมดเพศผู้ และราชินี เพศเมีย มีหน้าที่สืบพันธุ์ เนื่องจากมดเป็นสัตว์ในวงศ์ Formicidae จึงสามารถผลิตกรดมดหรือกรดฟอร์มิกได้เป็นลักษณะเฉพาะของสัตว์ในวงศ์นี้

หนวด

หนวดของมดนั้นแตกต่างจากแมลงกลุ่มอื่น คือ หนวดของมดจะม้วนเข้าศอก เว้นแต่มดสายพันธุ์ Fomisintos ที่จะมีลักษณะการม้วนหนวดเหมือนแมลงชนิดอื่นๆ หนวดมด มีหน้าที่รับรู้สื่อสารและรายงานสถาณภาพต่างๆของบริเวณนั้นๆ ในการสื่อสารมดจะใช้หนวดมาสัมผัสกันเป็นการสื่อสารแบบ ลอย (Emando) หนวดของมดจะแบ่งออกเป็นปล้องๆ ซึ่งแล้วแต่ประเภท วรรณะของมด ซึ่งแบ่งออกดังนี้
  • มดราชา (King Ant) มีหนวดประมาณ 500-1000 ปล้อง
  • มดเพศผู้ (Male Ant) มีหนวดประมาณ 117-163 ปล้อง
  • มดเพศเมีย (Female Ant) มีหนวดประมาณ 131-155 ปล้อง
  • มดพนัก (torker Ant) มีหนวดประมาณ 83 -117 บ้อง

ตา

แบ่งได้เป็นสองประเภท คือ ตารวมและตาเดี่ยว
  • ตารวม คือ ตาที่มีอยู่เป็นคู่ อาจมีลักษณะอื่น ๆ ด้วย เช่น ตาเป็นมีตา 2 คู่ และไม่จำเป็นต้องอยู่บริเวณข้างหน้าเสมอไป มดส่วนใหญ่จะมีตาเป็นประเภทตารวม
  • ตาเดี่ยว คือ ตาที่ไม่ได้มีอยู่เป็นคู่ ส่วนใหญ่จะมีสามตา และอยู่บริเวณล่างของหนวด
มดส่วนใหญ่จะมีตารวม บางชนิดไม่มีตารวมตั้งอยู่บริเวณส่วนหน้า หรือด้านข้างของส่วนหัว มีขนาดตั้งแต่เป็นจุดเล็ก ๆ จนถึงขนาดใหญ่ ส่วนมากเป็นรูปวงกลม มีบ้างที่เป็นรูปวงรีหรือรูปไต มีหน้าที่สำหรับการมองเห็น ส่วนตาเดี่ยวโดยทั่วไปมี 3 ตา อยู่เหนือระหว่างตารวม ส่วนมากพบในเพศผู้และราชินี สำหรับมดงาน พบมากในมดเขตหนาว ไม่ได้ใช้ในการมองเห็น

ปาก

ปากของมดจะมีอยู่สองลักษณะ คือ แบบกัดกิน (Thorix) และปากแบบลักษะดูด (Thorase)
  • ปากแบบกัดกิน จะมีลักษณะเป็นฟันสองซี่ จะคมมาก มีกรามที่แข็งแรงและขนาดใหญ่ เป็นส่วนที่เห็นชัดที่สุดรูปสามเหลี่ยม กึ่งสามเหลี่ยมหรือเป็นแนวตรงถือเป็นอวัยวะที่สำคัญในการจับเหยื่อและ ป้องกันตัว ทำให้มดส่วนใหญ่เป็นพวกกินสัตว์ พบได้ในมดงาน
  • ปากแบบลักษณะดูด จะมีไว้สำหรับ ดูดน้ำหวาน ตามเกสร พบในมดเพศเมีย และมดราชินี
  • ร่องพักหนวด เป็นร่วมหรือแอ่งยาวคล้ายรอยพิมพ์ อยู่บริเวณหน้าของส่วนหัว เป็นที่เก็บหนวดขณะที่ไม่ใด้ใช้ โดยทั่วไปมี 1 คู่ มีลักษณะแตกต่างกันตั้งแต่เป็นร่องตื้น ๆ ไปถึงร่องลึกเห็นชัดเจน บางชนิดไม่มีร่องพักหนวดนี้

ส่วนอก

ส่วนอกเป็นส่วนที่เชื่อมต่อระหว่าง ส่วนท้อง และส่วนหัว โดยมากจะเป็นทรงกระบอก อาจมีตุ่มหนามอยู่ด้วย เป็นส่วนที่สองของลำตัวมดเป็นรูปทรงกระบอก อกของมดจะไม่ใช้คำว่า thorax แต่จะใช้ alitrunk แทน เนื่องจากอกของมดประกอบด้วย อกปล้องแรก อกปล้องที่ 2 และอกปล้องที่ 3 แต่อกปล้องที่ 3 นี้จะรวมกับท้องปล้องที่ 1 ซึ่งเรียกว่า propodeum ส่วนอกจะเป็นที่ตั้งของส่วนขาและปีก (สำหรับราชินีและมดเพศผู้) มดงานจะมีส่วนอกปกติ ยกเว้นมดราชินีมีอกขนาดใหญ่กวา ปีกจะพบที่มดเพศผู้และมดเพศเมียเท่านั้น มดบางชนิดอกปล้องที่ 1 อกปล้องที่ 2 เชื่อมติดกันเชื่อมติดกัน เช่นเดียวกับอกปล้องที่ 3 กับปล้องที่ 1 มดบางชนิดสันหลังอกมีหนามหรือตุ่มหนาม บางชนิดอาจเป็นแผ่นคล้ายโล่ห์ ขาของมดส่วนมากค่อนข้างยาว ทำให้เคลื่อนไหวได้คล่องแคล่วว่องไวมาก ความยาวของขาและรูปร่างของมดนั้นจะถูกกำหนดโดยพฤติกรรมต่างๆ

ส่วนท้อง

เป็นส่วนที่อยู่ท้ายสุดของมด บางชนิดจะแตกออกเป็น 2 ส่วน เรียกว่า Wasted twin ซึ่งมดบางชนิดอาจมีเหล็กใน และบางชนิดก็มีช่องไว้ปล่อยสารป้องกันตัว เป็นส่วนที่ 3 มดมี 1 หรือ 2ปล้องขึ้นอยู่กับกลุ่มมด อาจมี 1ปล้องคือ Petioleเป็นปล้องที่ 2 ของส่วนท้องอาจเป็นปุ่ม หรือแผ่น ส่วนถ้ามี 2 ปล้องคือ Petiole และ Postpetiole เป็นปล้องที่ 2กับปล้องที่ 3 Postpetiole อาจเป็นปุ่มหรือรูปทรงกระบอกก็ได้ มดบางชนิด petiole มีหนาม 1 คู่ ส่วนท้ายของลำตัว เรียก gaster โดยทั่วไปมีรูปร่างกลม แต่บางชนิดเป็นรูปหัวใจ หรือรูปทรงกระบอก ปลายส่วนท้องของมดงานส่วนใหญ่มีเหล็กไน บางชนิดสามารถทำให้เกิดอาการเจ็บปวดได้ สำหรับบางชนิดไม่มีเหล็กไน ก็จะเปิดเป็นช่อง สำหรับขับสาร

การจำแนก

ปัจจุบัน มีการค้นพบมดมากกว่า 12,000 ชนิด โดยพบมากในเขตร้อนของโลก เฉพาะในภูมิภาคอาเซียน ประมาณว่ามีมด 1,300-1,500 ชนิด สำหรับในประเทศไทยเริ่มมีการศึกษามดอย่างจริงจังในปี ค.ศ. 1997 พบมดแล้วกว่า 700 ชนิด และคาดว่าอาจมีมากได้ถึง 1,000 ชนิด